โลกเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าแต่งงานกันฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องเป็นคนแบกรับสินสอดฝ่ายเดียว ฝ่ายหญิงก็ช่วยกันเก็บเงินแต่งงานกับแฟนได้ ถ้าถามว่า เก็บเงินแต่งงาน ควรให้ผู้ชายเก็บ หรือช่วยกันเก็บกับแฟน? บทความนี้จะมาแนะนำข้อดีและข้อเสียของทั้งสองแนวทาง พร้อมช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น
คำถามที่คู่รักควรถามตัวเองก่อนเก็บเงินแต่งงาน
- เรามีเป้าหมายเรื่องชีวิตคู่แบบไหน?
- รายได้และความสามารถในการเก็บเงินของแต่ละคนเป็นอย่างไร?
- มีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องดูแลหรือไม่?
- ค่านิยมและความคาดหวังของครอบครัวเป็นอย่างไร?
เก็บเงินแต่งงาน ควรให้ผู้ชายเก็บ หรือช่วยกันเก็บกับแฟน?
1. ถ้าให้ฝ่ายชายเก็บเงินแต่งงานคนเดียว
ในสังคมไทยหลายครั้ง ความเชื่อแบบเดิมมักมองว่าผู้ชายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่งงาน เพราะถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่กำลังจะสร้าง อย่างไรก็ตาม การให้ฝ่ายชายเก็บเงินคนเดียวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี
- แสดงความจริงจังและความรับผิดชอบ
การที่ฝ่ายชายเก็บเงินคนเดียวเพื่อแต่งงาน อาจเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการดูแลครอบครัวในอนาคต ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งและน่าเชื่อถือ - ลดความซับซ้อนในการบริหารเงิน
การให้ฝ่ายเดียวเก็บเงินอาจลดการขัดแย้งในการจัดการเงินและการวางแผนต่าง ๆ
ข้อเสีย
- ภาระหนักที่อาจเกินตัว
การเก็บเงินคนเดียวอาจทำให้ฝ่ายชายรู้สึกกดดันและเป็นภาระหนักจนเกินไป โดยเฉพาะหากค่าจัดงานมีจำนวนมาก - เสียโอกาสในการร่วมมือกันวางแผนชีวิตคู่
การแต่งงานคือการใช้ชีวิตร่วมกัน การช่วยกันเก็บเงินแสดงถึงการเริ่มต้นที่ดีในความสัมพันธ์ของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
2. ถ้าช่วยกันเก็บเงินกับแฟน
การแบ่งปันหน้าที่และช่วยกันเก็บเงินอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคู่รักสมัยใหม่ที่มองความสัมพันธ์แบบเท่าเทียม มาดูข้อดีและข้อเสียของแนวทางนี้
ข้อดี
- สร้างความร่วมมือและความสามัคคี
การช่วยกันเก็บเงินทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เราอยู่ในเรื่องนี้ด้วยกัน” ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจกัน - แบ่งเบาภาระทางการเงิน
การเก็บเงินแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ การช่วยกันเก็บจะลดภาระและความกดดันที่อาจเกิดขึ้น - ส่งเสริมการวางแผนและบริหารการเงินร่วมกัน
การช่วยกันเก็บเงินทำให้ทั้งคู่เรียนรู้วิธีการจัดการเงิน วางแผนการใช้จ่าย และเตรียมตัวสำหรับการเงินของครอบครัวในอนาคต
ข้อเสีย
- ความขัดแย้งในการบริหารเงิน
การเก็บเงินร่วมกันอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในกรณีที่มีมุมมองการใช้จ่ายแตกต่างกัน เช่น ฝ่ายหนึ่งอาจมองว่าควรเก็บเงินเยอะ ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายอาจมองว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายบางส่วนได้ - อาจขัดแย้งกับค่านิยมดั้งเดิม
สำหรับบางคู่หรือบางครอบครัว การที่ฝ่ายหญิงมีส่วนร่วมในการเก็บเงินอาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม เพราะค่านิยมเดิมที่ฝ่ายชายต้องเป็นผู้นำในเรื่องการเงิน
3. ทางสายกลาง: วางแผนการเก็บเงินร่วมกันแบบยืดหยุ่น
อีกหนึ่งแนวทางที่อาจตอบโจทย์คู่รักหลายคู่คือการวางแผนการเก็บเงินแบบร่วมมือกัน โดยอาจแบ่งหน้าที่กัน เช่น ฝ่ายชายดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนที่สำคัญ เช่น ค่าสินสอด ค่าสถานที่ ขณะที่ฝ่ายหญิงอาจช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนของการจัดเลี้ยง หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สูงมากนัก วิธีนี้ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่ามีส่วนร่วมและไม่ถูกกดดันเกินไป
ถ้าเก็บเงินแต่งงานกับแฟน ควรแบ่งสัดส่วนกันโดยใช้เกณฑ์อะไรวัด
1) รายได้ของแต่ละฝ่าย:
- หากฝ่ายใดมีรายได้มากกว่า อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
- แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะอาจมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น หนี้สิน หรือค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ
2) ทรัพย์สินที่มีอยู่: หากฝ่ายใดมีทรัพย์สินเก็บสะสมอยู่แล้ว อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งได้
3) ความสามารถในการออม: พิจารณาจากนิสัยการใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายว่าใครสามารถออมเงินได้มากกว่า
4) ความสำคัญของงานแต่งงาน: หากฝ่ายใดให้ความสำคัญกับงานแต่งงานมากกว่า อาจเต็มใจที่จะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น
5) ความคาดหวังของครอบครัว: ในบางครอบครัวอาจมีประเพณีหรือความคาดหวังที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน
สำคัญ! เปิดใจและพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา การ เก็บเงินแต่งงาน ควรเป็นการตกลงร่วมกันของคู่รักตามความเหมาะสมในสถานการณ์และเป้าหมายของแต่ละคู่ ไม่ว่าจะเลือกให้ฝ่ายชายเก็บเงินคนเดียว หรือช่วยกันเก็บ สิ่งสำคัญคือการเปิดใจพูดคุยและร่วมมือกัน วางแผนเพื่อสร้างความมั่นคงในการเริ่มต้นชีวิตคู่ไปด้วยกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง